ข้อมูล Encephalartos eugene-maraisii
ข้อมูล Encephalartos eugene-maraisii (แปลมาจากหนังสือ South Africa)
Inez Clare Verdoorn อธิบายในปี ค.ศ. 1945 บทความนี้ให้เกียรติแก่ลุงของเธอ Eugene Nielen Marais ฉลองบทความของของผู้เขียน นักเขียนและนักธรรมชาติวิทยาซึ่งนำสายพันธุ์นี้ ความสนใจของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ ดูจาก Historical anecdotes about the southern Africa cycas species
ไม่ได้ไกลจากฟาร์มบ้านนักเขียนที่อาศัยอยู่ในแอฟริกาใต้ มันคือสถานที่ที่เป็นธรรมชาติ เป็นฟาร์ม Eugene Marais ซึ่งเป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติที่น่าทึ่ง และเป็นที่อนุรักษ์ที่สำคัญเปรียบเสมือนหัวใจของ Waterberg โดยการเจริญเติบโตโดยมีจำนวนพอสมควร เป็นเหมือนไข่แดงซึ่งเหลือจำนวนของ Encephalartos Eugene-Maraisii ที่จะเหลือเป็นเพศผู้ เพศเมีย มันถูกจดบันทึกถึงจำนวนฟาร์มที่อยู่ใน Waterberg และ เขตปกครอง Pieterburg ที่เหลือจำนวนไม่มากของ Encephalartos Eugene-Maraisiiที่พบ โดยประชาชนเป็นเจ้าของที่คอยอนุรักษ์พืชสายพันธุ์นี้
Habitat (ที่อยู่อาศัย) : สายพันธุ์นี้เติบโตใน waterberg และพื้นที่ที่อยู่บนยอดของภูเขาหินและความลาดชันในพื้นที่เปิดของทุ่งหญ้าและทุ่งหญ้าสวานน่า การอยู่อาศัยจะถูกละเลยใน baboons (papio ursinus) แต่ว่าที่แปลกใจ คนทั้งหลายบอกว่าไม่สามารถกินได้สำหรับบางส่วนของomnules จะอาสัยอยู่ที่ระดับความสูง 1450 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ด้วยอากาศที่อบอุ่นและรับฝนในช่วงอากาศหน้าร้อนที่ 600-740 มิลลิเมตรต่อฤดูกาล เป็นที่ต้องการของนักสะสม ในอนาคตการนำสายพันธุ์นี้ออกจากป่าโดยไม่ปลอดภัย แต่ว่ายังโชคดีที่มีชาวสวนที่มีการเลี้ยงพืชสายพันธุ์นี้อยู่ที่สวนในจำนวนหนึ่งและก็ทำให้จำนวนการอนุรักษ์เพิ่มขึ้น ต้นกล้าที่เกิดขึ้นก็มีความแข็งแรงในพื้นที่ที่มีเหตุผลในการเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ต่อไป
Cultivation(การเพาะปลูก) : เมื่อโตเต็มที่ต้องการแสงแดดเป็นอย่างมาก สายพันธุ์นี้จะมีการเจริญเติบโตที่ช้ามากและสามารถทนความเหน็บหนาวได้เป็นอย่างดี มันมีการขยายพันธุ์ทางเมล็ดและหน่อ เมื่อConesเพศเมียแก่ ก้านใบรวมทั้งหมดจะแหลมตรงปลายโค้งลงเมื่อใบเก่าหมดอายุ The sporophylls จะค่อยๆเริ่มหดประมาณ 2 เดือนหลังจาก pollination ในส่วนของการแตกเป็น omnules
ลำต้น (Stem) :
ลำต้นตั้งตรง ลำต้นที่ขึ้นไปในอากาศบางครั้งจะกลับมานอนคลานตามแนวพื้นขณะที่เมื่อมันยาว ในส่วนที่ขึ้นไปในอากาศจะไม่มีกิ่งก้านแต่ว่าสายพันธุ์นี้จะมีการแตกหน่อบนลำต้น และมีตัวอย่างของหลายลำต้นเป็นธรรมดา ลำต้นสามารถเติบโตขึ้นมาได้มากกว่า 4 เมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 300-450 มิลลิเมตรด้วยขนอ่อนๆสีขาวของ Cataphylls ที่ปลายยอดลำต้น ส่วนของลำต้นที่เก่าแก่ถูกปกป้องและป้องกันโดยโคนฐานใบที่ล้อมรอบเหมือนๆๆกัน
ก้านใบรวมทั้งหมด(Leaves)
ทั้งหน้าใบทั้ง 2 ด้าน จะเป็นสีเดียวกัน โดยสี light bluish-green ก้านใบรวมจะมีการโค้งลงเล็กน้อยแต่ว่าปลายก้านใบจะเป็นการโค้งยกขึ้นเล็กน้อย ก้านใบจะแข็ง ความยาวก้านใบรวมทั้งหมด 0.7-1.5 เมตร
ค่า The pp-angle 20°-40° ยกเว้นที่ฐานใบที่ซึ่งมันจะเพิ่มเป็น 90°-120°
The pr-angle 45°-70° ผ่านความยาวไปจนถึงที่ฐานใบ
The s-angle จะลดจาก +85° ไปถึง +100° ที่ปลายใบถึงค่า +45° ถึง +65° ที่ฐานใบ
ใบย่อยจะถูกทับซ้อนจากใบล่างทับใบบนตลอดแนว
Petiole : มีความยาว 120-160 มิลลิเมตร ด้วยการที่ฐานเล็กๆนั้นที่ว่านี้จะปกคลุมไปด้วยขนสีเทาที่ปลายนอก
Median leaflets :
จะมีความยาว 150-200 มิลลิเมตร ความกว้าง 13-18 มิลลิเมตร ใบจะมีลักษณะคล้ายๆหนัง(leathery) และไม่มีปุ่ม(nodules) ขอบใบย่อยจะไม่หนาและไม่มีหนามยกเว้นสำหรับกรณีที่อาจจะเกิดหนามเล็กๆหนึ่งหนามที่โดดเดี่ยวคล้ายๆฟัน (solitary teeth) บนขอบใบล่าง(phylloproximal margin) และมีการเว้าเล็กน้อยตรงขอบใบบน(phyllodistal) ทางแนวยาวใบย่อยทั้งหมดจะตรงและปลายจะมีหนามแหลม
ใบมีความหนาไม่ใช่ใบบางมากๆ ถ้าเลือกซื้อใบยิ่งหนายิ่งดี แต่จะไม่หนาเท่า Encephalartos Middleburgensis
Basal leaflets (ก้านใบส่วนล่างทั้งหมด) :
ก้านใบส่วนล่าง ใบจะจะลดขนาดจนไปที่ฐาน 1-2 ใบ(spine)หรือมากกว่า
Cones
จะปรากฎในช่วงเดือนธันวาคมและทั้ง male cone และ female cone จะมีสีน้ำตาลแดงโดยจะมีขนบางๆเล็กๆที่ผิวภายนอกซึ่งจะถูกปกคลุมด้วยพื้นผิวเดิมเป็นสีเขียวอมเทาในส่วนของโคน
Male cones : 1-8 ต่อฤดูกาลต่อลำต้น ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะยาวประมาณ 200-450 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 60-100 มิลลิเมตร ทั้งหมดจะติดกับยอดลำต้น โดย peducle ซึ่งจะติดกับปลายยอดลำต้นจะถูกปกคลุมด้วย cataphylls A cone ที่สดที่เพิ่งตัดจะมีน้ำหนัก 0.6-1.4 กิโลกรัม และมี 270-430 sporophylls แต่กลิ่นที่ปล่อยออกมาจะแรงมากในช่วงที่ pollening shedding วึ่งจะอยู่ในช่วงเวลากุมภาพันธุ์-มีนาคม
Female cones : 1-6 ต่อฤดูกาลต่อลำต้น ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะยาวประมาณ 300-500 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์กลาง 160-200 มิลลิเมตร และมี a peducle ซึงจะมีความยาว 50 มิลลิเมตร แต่ว่าทั้งหมดจะถูก the cataphylls ปกคลุมที่ยอดลำต้น A cone ที่สดที่เพิ่งตัดจะมีน้ำหนัก 2.0-3.5 กิโลกรัม และมี 130-200 sporophylls โดย The cones จะไม่สลายตัวทางธรรมชาติ เมื่อแห้งเท่านั้นและมันจะเกิดในช่วง พฤษภาคม-สิงหาคม ที่เหลือจะแยกออกแค่ 140-240 omnules
Seeds : จะมีสีน้ำตาลอ่อน จะมีความยาว 34-44 มิลลิเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 23-30 มิลลิเมตร
Seed kernals : ความยาว 27-34 มิลลิเมตร และเส้นผ่านศูนย์ 23-30 มิลลิเมตร และปราศจากเหลี่ยมหรือมุม
Note
ปรงในเขต Waterberg ไม่สามารถผลิต cone ได้ตามฤดูกาล 3-4 ปีถึงจะมีผลผลิตติดเป็นเมล็ดจำนวนมากกลับมา
ในช่วง 1988 ได้ถูกแยกเป็น 4 form สายพันธุ์นี้คิดว่ามีอยู่ในบริเวณกว้างแยกตามแหล่งที่เกิดในพื้นที่
หลังจาก Suzelle van der Westhuizen ได้ค้นพบแบบสมบูรณ์ เกี่ยวกับการศึกษาทั้ง 4 Formsของเธอ M.Sc thesis 1976 เธอได้อธิบายว่าทั้งหมดนี้ถูกแยกตามหลักวิทยาศาสตร์หมวดหมู่พืชและสัตว์ อย่างไรก็ตามมันถูกบอกในปี 1988 โดย Lavranos และ Goode ที่แยกพวกมันเป็น 3 species และ 2 subspecies
3 species และ 2 subspecies ได้แก่
1 . Encephalartos dolomiticus
2.Encephalartos dyerianus
3.1 Encephalartos Eugene-maraisii และ Encephalartos Eugene-maraisii (subsp.)
3.2 Encephalartos Eugene-maraisii และ Encephalartos middleburgensis (subsp.)
แต่ว่าหลังจากนั้น Subspecies ได้ถูกยกระดับเป็น full species เต็มรูปแบบในปี 1989 โดย Robbertse, Vorster และ van der Westhuizen โดยกล่าวถึง E.middleburgensis. สำหรับรูปแบบการบ่งชี้ถึงสมาชิกใน complex จะอยู่ใน Note ของ Encephalartos dolomiticus