ข้อมูล Encephalartos Trisprinosus
ข้อมูลควรรู้เกี่ยวกับต้น Encephalartos Trisprinosus (แปลมาจากหนังสือที่มาจาก South Africa)
ค้นพบเมื่อ 1863 โดย Joseph Dalton Hooker of Kewเป็นคนประเทศอังกฤษ ภายใต้ชื่อ Encephalartos Horridus var. trisprinosus แต่ว่าสายพันธุ์ย่อยที่แยกออกมานี้ได้ถูกยกระดับอย่างเต็มรูปแบบเป็นชื่อ Encephalartos trispinosus ในปี 1965 โดย Robert Allen Dyer. ซึ่งเป็นเกียรติกับการตั้งชื่อ มาจาก 2 คำ ก็คือ tri สำหรับ “three” และ spinosus สำหรับ ” spiny(แหลม)” พาดพิงมาจาก อาจจะมี 2 หนามขนาดใหญ่( pungent leaflet lobes) และมีอีกหนาม 1 ที่ปลายใบซึ่งรวมกันเป็นรูปแบบที่สำคัญในชื่อ Encephalartos trisprinosus
Habitat : สายพันธุ์นี้จะเกิดขึ้นที่ the Bushmans River และ Great Fish River valleys ใน Bathurst , Alexandria และ Albany ที่อยู่ในตำบลของ the East Cape มันเจริญเติบโตอย่างหนาแน่น ในแสงแดดที่ดี แต่เป็นแสงแดดบางๆ พื้นที่ที่มีฝนตก 625-725 มิลลิเมตร และมันก็จะตกเป็นส่วนใหญ่ในฤดูร้อน พื้นที่นี้มีความสามารถระบายน้ำได้ดี พืชสายพันธุ์นี้ถูกแรงกดดันจากนักสะสมเป็นอย่างมาก สายพันธุ์นี้มีความเสี่ยงสูงที่จะสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ
Cultivation : Encephalartos Trisprinosus เป็นพืชที่การเจริญเติบโตช้าชนิดหนึ่งและชอบแสงแบบ full sunlight และวัสดุปลูกต้องโปร่ง มันสามารถขยายพันธุ์โดยทางเมล็ดหรือหน่อ
Stem(ลำต้น) :
ลำต้นจะตั้งตรงขึ้นไปในอากาศหรือว่าบางทีอาจจะเลื้อยบนพื้นดินเมื่อมีอายุมากๆ และโดยปกติมักจะไม่มีกิ่งก้านเกิดขึ้นที่ลำต้น แม้ว่าบางครั้งอาจจะมีหน่อเกิดขึ้นได้ในที่สุดจะกลายเป็นหลายๆลำต้นเกิดขึ้นมาของสายพันธุ์นี้ ลำต้นสามารถมีความยาวได้ถึง 1 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 200-300 มิลลิเมตร ที่ปลายยอดลำต้นจะไม่มีขนและลำต้นจะถูกปกคลุมจากใบล่างที่ฐานซึ่งมีใบที่ใหญ่เป็นขนาดเท่าๆกัน
Leaves(ใบย่อยทั้งหมด) :
จะมีสี Grey-green ถึงสี blue-green และสี dark green ที่บนหน้าใบ ความฟ้าขึ้นอยู่กับสถานที่และเกรดของสายพันธุ์ ใบย่อยทั้งหมดจะมีสีฟ้าด้านหลังใบที่อ่อนกว่าและไม่มีขนทั้งหมด ปลายก้านใบจะมีการม้วนโค้งลงแล้วโค้งกลับขึ้นมา(downwards and inward curve at the leaf apex) บางครั้งใบย่อยอาจจะมีการบิดขึ้นได้(the leaves are sometimes twisted near the apex) ก้านใบจะแข็งและใบที่เสียจนแห้งแล้วก็ยังคงทิ้งหลงเหลือไว้กับลำต้นเป็นเวลายาวนาน ก้านใบย่อยทั้งหมดจะมีความยาว 0.7-1.25 เมตร
มีค่า pp-angle 30°-50° ที่ปลายใบ และเพิ่มขึ้นเป็น 110°-160° ในส่วนถัดมาของใบไปในทิศใบล่างที่ลงสู่โคนก้านใบไปทาง petiole
pr-angle เป็น 60°-90° ตลอดของความยาวทั้งหมดตลอดก้านใบ
s-angle +20° ถึง +45° และเปลี่ยนเป็นค่าที่สั้นประมาณ -20° ถึง -45° ในส่วนกลางๆและส่วนของใบล่างๆ
ที่ปลายใบย่อยบนก้านใบจะมีใบย่อยจำนวนมากกว่าด้านล่างของก้านใบ แต่อย่างไรก็ตามที่ปลายก้านใบจะมีการทับซ้อนแบบใบล่างทับใบบนเล็กน้อยเท่านั้น ในพื้นที่ส่วนของกลางใบไม่มีการทับซ้อนแม้แต่น้อยและบางครั้งอาจจะมีรูปแบบการทับซ้อนคือเป็นแบบบนทับล่างขึ้นได้เล็กน้อย
Petiole : มีความยาว 100-250 มิลลิเมตร และใบที่ฐานจะมีความเด่นมากในเรื่องของ collar ที่จะมีสีครีม ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเมื่ออายุมากขึ้น
Median leaflets : มีความยาว 100-180 มิลลิเมตร ความกว้าง 15-25 มิลลิเมตร ลักษณะใบคล้ายๆ leathery และไม่มีปุ่ม(without nodules) ใบย่อยส่วนมากจะมีสองหนามแต่บางทีก็ปรากฎแค่ 1 หนามที่ใหญ่เป็น(Lobe) บนขอบใบล่าง หนามที่เป็น Lobes สามารถบิดออกจาก ระนาบแผ่นใบหลักแต่ว่าจะมีองศาเกิดขึ้นเล็กน้อย ขอบใบจะไม่หนาแต่ว่าจะมีการหักโค้งที่บริเวณปลายใบ บนหน้าใบจะโค้งเว้าในทิศตามแนวขวางและตามแนวยาวจะโค้งนูนเล็กน้อย ปลายใบจะแหลม
Basal leaflets: ใบจะลดรูปลงสู่โคนก้านใบและหนามแบบ lobes จะเล็กลง หรือไม่มีเลยที่ใบ(unlobes leaflets) แต่ใบลดรูปลงไปแต่จะไม่ถึงกับรูปแบบ spine
Cones : ทั้ง male cone และ Female cone โดยปกติจะมีแค่ 1 cone ต่อฤดูกาลต่อต้น ซึ่งจะมีสี blue-green แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นสี yellowish จะปรากฏในเดือน ธันวาคม
Male cones : มีความยาว 250-410 มิลลิเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 65-100 มิลลิเมตร และมีความยาว peducle 20-80 มิลลิเมตร น้ำหนักสดของ cones ที่เพิ่งตัด 0.3-0.8 กิโลกรัม และมี 390-520 Sporophylls. Pollen shedding จะเกิดขึ้นในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ที่ south africa
Female cones :มีความยาว 350-500 มิลลิเมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 150-200 มิลลิเมตร และมีความยาว peducle 65 มิลลิเมตร แต่ถ้าจะสังเกตุทั้งหมดของ Female cones ยากเพราะจะมี the cataphylls ปกคลุมเกิดขึ้นที่ยอดของลำต้น น้ำหนักสดของ cones ที่เพิ่งตัด 4.8 กิโลกรัม จะมี 170 sporophylls ของ the apical sterile one ประกอบไปด้วย 39% Cones จะสลายตัวเป็น spontaneously ระหว่างเดือน ตุลาคม-พฤษจิกายน ที่ south africa โดยจะมี 100-340 omnules
Seeds: มีสีแดงถึงสีส้ม มีความยาว 45-50 มิลลิเมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 24 มิลลิเมตร the sarcotesta index ประมาณ 48% และ the sarcotesta จะกลับมาเป็น mucilaginous จะได้สุก
Seed kernals : ความยาว 24-28 มิลลิเมตร
Note :
หลังจากที่ Encephalartos natalensis ,Encephalartos trisprinosus มีปัญหาเกิดขึ้นที่ South africa cycad species ด้วยจำนวนมากของรูปแบบในธรรมชาติ Dyer(1965) ได้มีความเห็นว่าอย่างน้อยมี 5-6 form ด้วยความแตกต่างของความแหลมของใบที่ออกมา ซึ่งบางรูปแบบอาจจะมีการสับสนระหว่าง E.lehmannii หรือ E.princeps ขณะที่บางรูปแบบอาจจะไปเหมือนมากๆๆกับ E.horridus และบางครั้งจะไปสับสนกับ blue form ของ E.arenarius รูปแบบที่ว่า ไม่มีทั้ง lobed leaflets ไม่มีทั้งที่เรียกว่า teeth และบางครั้งกรณีใบอาจจะมีสีเขียวเข้ม ในกรณีที่ขาด Cones จะทำให้การพิจารณาลักษณะที่ทำให้มันเป็นไปได้ระหว่างสายพันธุ์ที่จะกล่าวรายละเอียดตามนี้
E.arenarius(blue form) : the median leaflets ที่จะมีความกว้าง 25-40 มิลลิเมตร และใบจะมี 2-4 large lobes บนขอบใบล่าง ด้านบนผิวใบจะมีความโค้งเว้าทางแนวขวาง the s-angle ของใบย่อยที่เปลี่ยนจาก ค่าบวกที่ปลายใบมายังเป็นค่าลบที่โคนก้านใบ ปุ่มเล็กๆที่ผิวหน้าใบจะไม่มี
E.horridus : the median leaflets ที่จะมีความกว้าง 25-30 มิลลิเมตร และใบจะมี 1-3 large lobes บนขอบใบล่าง ผิวที่ด้านบนของใบจะมีความโค้งเว้าในแนวขวาง the s-angle ของใบจะเปลี่ยนจากค่าบวกที่ปลายใบไปเป็นค่าลบที่โคนก้านใบ ปุ่มเล็กๆที่ผิวหน้าใบจะไม่มี
E.lehmannii : the median leaflets ใบจะไม่มี lobed และผิวหน้าใบจะมีปุ่มเล็กๆเกิดขึ้นthe s-angle ของใบจะเปลี่ยนจากค่าบวกที่ปลายใบไปเป็นค่าลบที่โคนก้านใบ
E.princeps : the median leaflets ใบจะไม่มี lobed และผิวหน้าใบจะไม่มีปุ่มเล็กๆเกิดขึ้น the s-angle ของใบจะมีค่าบวกที่ปลายใบตลอดความยาวลงไปถึงโคนก้านใบล่าง
E.trispinosus : the median leaflets ที่จะมีความกว้าง 15-25 มิลลิเมตร และใบจะมี 0-2(บางครั้งอาจจะมีมากกว่า 2 ) large lobes ของขอบใบล่าง ที่ผิวด้านบนของ the median leaflets จะมีการโค้งเว้าในแนวขวาง the s-angle ของใบจะเปลี่ยนจากค่าบวกที่ปลายใบไปเป็นค่าลบที่โคนก้านใบด้านล้าง ปุ่มเล็กๆที่ผิวหน้าใบจะไม่มี
*ในส่วนที่สำคัญหนึ่งที่ใช้จำแนกก็คือ Cones*
การกระจายของพื้นที่ของ Encephalartos trispinosus จะมีการทับซ้อนหรือขยายไปทับกับสายพันธุ์ E.altersteinii ,E.arenarius,E.latifrons. ทั้งหลายเหล่านี้ มันจะมี E.caffer สายพันธุ์เดียวที่ไม่สามารถเกิด Hybris กับ E.trispinosusได้ หรือสายพันธุ์อื่นๆที่กล่าวมา
- 2สายพันธุ์นี้ จะมีลักษณะคล้ายๆกัน จนตอนหลังสามารถแยกคุณสมบัติได้ออกจากกันโดย Encephalartos Trisprinosusจะมีสีที่หัวเป็นสีน้ำตาลอ่อนหรือสีครีมเหลือง ส่วน Encephalartos Horridus หัวจะเป็นสีน้ำตาลแดง ใบของ Encephalartos Trisprinosus จะยาวยืดกว่าและกว้างน้อยกว่า Encephalartos Horridus รวมถึง Lobesของใบที่ต่างกัน ขนาดลำต้นตอนโต Encephalartos Trisprinosus จะสูงมากกว่า 1.0 เมตร รับแสงแดดได้มากกว่า Encephalartos Horridus
- เกิดในหมู่บ้าน Bushmans และ Great Fish River ในเมือง Grahamstown ,Bathurst และ Alexandra ที่อยู่ใน Eastern Cape Encephalartos Trisprinosus เป็นสายพันธุ์ที่สวยงาม ใบเป็น Lobes ต้องการแดดจัด เติบโตบนหิน และอยู่กับ Encephalartos Altensteinii อาจจะมีการ Hybrid กันได้ใน 2 ชนิดนี้เพราะเกิดในแหล่งเดียวกัน จึงทำให้บางที Encephalartos Trisprinosus หนามในใบอาจจะหายไปได้เป็นแบบ no thorn
- Encephalartos Trisprinosus มี 7 form อย่างเช่น Dark Greyish blue leaf form ของ Encephalartos Trisprinosus เกิดขึ้นที่Grahamstown
- ใบ มีสี blue green หรือ สี dark green ขึ้นอยู่กับพื้นที่ ใบใหม่แตกออกมาเป็นสีเขียว ไม่มีขน ก้านใบยาวได้ถึง 0.7 m.-1.25 m. ใบกว้างใน 1 ใบย่อย ยาว 10 cm-18cm กว้าง 1.5cm-2.5 cm ไม่มีการบิดของใบ
- ก้านใบยาว 0.75-1.25 เมตร
- Basal Leaflets จะค่อยๆลดรูป และหนามลง จนบางทีอาจจะไม่มีหนามได้
- Pitiole 10 cm.-25 cm.